วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550

การกินเนื้อ ช่วยโลกร้อน

การกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง จะช่วยรักษาอุณหภูมิได้ด้วย
การกินเนื้อน้อยลงจะลดปริมาณการผลิตเนื้อ

หรือก็คือลดการใช้เชื้อเพลิงนั่นเอง นอกจากนี้ ยังลดก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการทำลายสัตว์อีกด้วย
นักวิจัยบอกไว้ว่า เราควรจะกินสเต็กให้น้อยลง รวมไปถึงแฮมเบอร์เกอร์ด้วย
เพราะการทำเช่นนี้ จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
และช่วยลดปริมาณแก๊สที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ อย่างวัว แกะ หรือแพะ
ซึ่งแก๊สมีเทนนี้ ว่ากันว่าเป็นอีกแก๊สที่ทำลายโลกได้ดีที่สุดทีเดียว
นักวิจัยจากโรงพยาบาล Westchester ในนิวยอร์ก เชื่อว่า ถ้าผู้คนรู้ว่าการกินเนื้อจะทำให้โลกร้อน
พวกเขาจะคิดมากขึ้น และอาจจะลดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ลง
นอกจากนี้ วิธีที่จะลดก๊าซกรีนเฮ้าส์ ที่เกิดจากการทำฟาร์มก็สำคัญ
การเลี้ยงสัตว์ต้องใช้ข้าวเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงพืชที่มีแก๊สอันตรายอย่างมัน ฯลฯ
การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะลดการผลิต และช่วยโลกได้ในระดับหนึ่ง
เราลองมาดูกันว่าคนแต่ละประเทศกินเนื้อกันเท่าไหร่บ้าง
ในประเทศพัฒนาแล้ว คนกินเนื้อประมาณ 224 กรัมต่อวัน แต่ในอัฟริกา เพียง 31 กรัมต่อวันเท่านั้น
และตอนนี้ ความต้องการเนื้อในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ทำให้นักวิจัยกังวลมาก
พวกเขาเชื่อว่าการที่เราผลิตเนื้อมากเกินไป จะทำให้แก๊สทั้ง มีเทน และไนตรัสออกไซด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และทำให้บรรยากาศของโลกถูกทำลาย ตอนนี้ ในประเทศจีน พบว่าคนจีนกินเนื้อมากกว่า 10 ปีที่แล้ว
เป็นจำนวนมากถึงสองเท่าทีเดียว เท่ากับการผลิตที่มากขึ้นเป็นกี่เท่ากันละ
เมื่อนำมาเฉลี่ยแล้ว นักวิจัยพบว่า คนๆ หนึ่ง ควรกินเนื้อวันละ 90 กรัม
จึงจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และลดแก๊สต่างๆ ลง ทำให้อากาศเปลี่ยนช้าลงได้
นอกจากนี้ การกินเนื้อให้น้อยลงยังดีต่อสุขภาพ
ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง รวมไปถึงอาการหลอดเลือดอุดตัน
เมื่อตรวจแล้ว พบว่าการกินเนื้อให้น้อยลง จะลดการเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดเลือดได้ดีมาก
เพราะจะว่าไปแล้ว ปัจจุบัน คนกินโปรตีนมากเกินที่ร่างกายต้องการ จนเกิดโรคอ้วนขึ้นทั่วโลก

ช็อกโกแลตมีกี่ประเภท


ขนมอันแสนอร่อยนี้มีส่วนผสมหลักคือเมล็ดจากฝักถั่วโกโก้ มีให้เลือกหลายรูปแบบ โดยรูปแบบและรสชาติของช็อกโกแลตนั้นแตกต่างกันได้โดยส่วนผสมและปริมาณของส่วนผสม รวมถึงระยะเวลาและอุณหภูมิในการคั่วเมล็ดโกโก้ด้วย เริ่มกันที่ น้ำช็อกโกแลต (chocolate liquor)เป็นการนำเอาเมล็ดโกโก้มาคั้นจนเป็นของเหลวข้นๆ ซึ่งจะนำเอาไปทำเป็นช็อกโกแลตต่อไป ส่วนช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate) คือช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ไม่มีการเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น มักจะใช้ในการอบอาหาร และช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) คือช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกเป็นช็อกโกแลตธรรมดา นอกจากนี้ยังมีช็อกโกแลตนม (milk chocolate) ซึ่งก็คือช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือนมข้นหวาน โดยต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์ 10% หรือ 25% ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet) จะเป็นช็อกโกแลตเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วยมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate) จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 15 % ส่วน ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) จะเป็นส่วนผสมของน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ ลิควิด ช็อกโกแลต (liquid chocolate) เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน และไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ มีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ สำหรับ ช็อกโกแลตชนิดกูแวร์ตูร์ (couverture) จะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือความเป็นมันเงา เพราะมีส่วนผสมของเนยโกโก้อย่างน้อยที่สุด 32% ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันเฉพาะในร้านทำขนมหวานเท่านั้น โดยมักจะนำมาเคลือบผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลต ขณะที่ Ganache เป็นช็อกโกแลตที่นำไปละลายด้วยความร้อนและผสมกับวิปปิงครีมจนข้น นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต และท้ายสุด Confectionery Coating เป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีส่วนผสมของเนยโกโก้ เหมือนชนิดอื่นๆ มักใช้เคลือบลูกกวาด ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่า ช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุดในโลกนั้นต้องเป็นช็อกโกแลตที่มาจากประเทศเบลเยียม

ข่าว เกี่ยวกับในหลวง



ในหลวงทรงร้องไห้ ...*

เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้าน เพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่ จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ให­่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า ...ในหลวงทรงร้องให้..เห็นบ่อย ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า'หน้าที่'มากกว่า'สิทธิ' เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า ..ในหลวงทรงร้องไห้ ความสุขของพระมหากษัตริย์ หนึ่งปีที่ผ่านมา เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาทีวันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย .....สิบสองปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไปในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนี ไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดให­่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม? ..... 34 ปีที่ผ่านมา วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมห­้า ' คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ' คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า “คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน” และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?” ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ“จิตวิ­­าณของคนไทยทั้งชาติ” ยังจำกันได้ไหม? แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่” เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้ เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย” เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่ เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทรงเสียพระทัยเพียงใด? แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ 80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์ พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังให­่โตสวยงาม แห่ล้อม ด้วยข้าราชบริพาร หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน รู้จักความ พอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่? หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา?